วันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ครั้งที่ 3



Diary No.3

Inclusive Education Experiences Management for Early Childhood
 wednesday, January27 , 2559 Time 08.30 - 12.30



Knowlead (ความรู้ที่ได้รับ)

 ประเภทของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
แบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ
1. กลุ่มเด็กที่มีลักษณะทางความสามารถสูงมีความเป็นเลิศทางสติปัญญา
เรียกโดยทั่ว ๆ ไปว่า “เด็กปัญญาเลิศ
ลักษณะของเด็กปัญญาเลิศ
พัฒนาการทางร่างกายและจิตใจสูงกว่าเด็กในวัยเดียวกันเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดายอยากรู้อยากเห็นอย่างจริงจัง ชอบซักถามมีเหตุผลในการแก้ปัญหา  การใช้สามัญสำนึก
จดจำได้รวดเร็วและแม่นยำ

เด็กฉลาด
ตอบคำถามสนใจ เรื่องที่ครูสอน ชอบอยู่กับเด็กอายุเท่ากัน ความจำดีเรียนรู้ง่ายและเร็ว เป็นผู้ฟังที่ดี พอใจในผลงานของตน
Gifted 
ตั้งคำถาม เรียนรู้สิ่งที่สนใจชอบอยู่กับผู้ใหญ่หรือเด็กที่โตกว่า
อยากรู้อยากเห็น ชอบคาดคะเน เบื่อง่าย  
ชอบเล่า ติเตียนผลงานของตน 

 2.  กลุ่มเด็กที่มีลักษณะทางความบกพร่อง
เด็กที่บกพร่องทางสติปัญญา
เด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน
เด็กที่บกพร่องทางการเห็น
เด็กที่บกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ
 เด็กที่บกพร่องทางการพูดและภาษา
 เด็กที่บกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์
 เด็กที่บกพร่องทางการเรียนรู้
 เด็กออทิสติก
 เด็กพิการซ้อน


เด็กปัญญาอ่อน
- ระดับสติปัญญาต่ำ
            - พัฒนาการล่าช้าไม่เหมาะสมกับวัย
            - มีพฤติกรรมการปรับตนบกพร่อง
            - อาการแสดงก่อนอายุ 18
เด็กปัญญาอ่อน
แบ่งตามระดับสติปัญญา (IQ) ได้ 4 กลุ่ม
1. เด็กปัญญาอ่อนขนาดหนักมาก IQ ต่ำกว่า 20
  - ไม่สามารถเรียนรู้ทักษะด้านต่าง ๆ ได้เลย
  - ต้องการเฉพาะการดูแลรักษาพยาบาลเท่านั้น
2. เด็กปัญญาอ่อนขนาดหนัก IQ 20-34
ไม่สามารถเรียนได้ ต้องการเฉพาะการฝึกหัดการช่วยเหลือตัวเองในกิจวัตรประจำวันเบื้องต้นง่าย ๆ
กลุ่มนี้เรียกโดยทั่วไปว่า C.M.R (Custodial Mental Retardation)
3. เด็กปัญญาอ่อนขนาดปานกลาง IQ 35-49
            - พอที่จะฝึกอบรมและเรียนทักษะเบื้องต้นง่าย ๆ ได้
            - สามารถฝึกอาชีพ หรือทำงานง่าย ๆ ที่ไม่ต้องใช้ความละเอียดลออได้
            - เรียกโดยทั่วไปว่า T.M.R (Trainable Mentally Retarded)
4. เด็กปัญญาอ่อนขนาดน้อย IQ 50-70
เรียนในระดับประถมศึกษาได้สามารถฝึกอาชีพและงานง่าย ๆ ได้เรียกโดยทั่ว ๆ ไปว่า E.M.R (Educable Mentally Retarded)
ลักษณะของเด็กที่บกพร่องทางสติปัญญา
ไม่พูด หรือพูดได้ไม่สมวัย ช่วงความสนใจสั้น วอกแวก ความคิด และอารมณ์ เปลี่ยนแปลงง่าย รอคอยไม่ได้ทำงานช้ารุนแรง ไม่มีเหตุผล อวัยวะบางส่วนมีรูปร่างผิดปกติ กล้ามเนื้อทำงานไม่ประสานกันช่วยตนเองได้น้อยกว่าเด็กในวัยเดียวกัน
ดาวน์ซินโดรม Down Syndrome
สาเหตุ
ความผิดปกติของโครโมโซมคู่ที่ 21 ที่พบบ่อยคือโครโมโซมคู่ที่ 21 เกินมา 1 แท่ง (Trisomy 21)
อาการ
ศีรษะเล็กและแบน  คอสั้น
หน้าแบน ดั้งจมูกแบน
ตาเฉียงขึ้น ปากเล็ก
ใบหูเล็กและอยู่ต่ำ รูหูส่วนนอกจะตีบกว่าปกติ
เพดานปากโค้งนูน ขากรรไกรบนไม่เจริญเติบโต
ช่องปากแคบ ลิ้นยื่น ฟันขึ้นช้าและไม่เป็นระเบียบ
มือแบนกว้าง นิ้วมือสั้น
เส้นลายมือตัดขวาง นิ้วก้อยโค้งงอ
2. เด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน
 (Children with Hearing Impaired )
หมายถึง เด็กที่มีความบกพร่อง หรือสูญเสียการได้ยินเป็นเหตุให้การรับฟังเสียงต่าง ๆ ได้ไม่ชัดเจนมี 2 ประเภท คือ เด็กหูตึง และ เด็กหูหนวกเด็กหู
หมายถึง เด็กที่สูญเสียการได้ยิน แต่สามารถรับข้อมูลได้ โดยใช้เครื่องช่วยฟัง จำแนกกลุ่มย่อยได้ 4 กลุ่ม
1. เด็กหูตึงระดับน้อย ได้ยินตั้งแต่ 26-40 dB
             เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงเบา ๆ เช่น เสียงกระซิบ หรือเสียงจากที่ไกล ๆ
2. เด็กหูตึงระดับปานกลาง ได้ยินตั้งแต่ 41-55 dB
 - เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงพูดคุยที่ดังในระดับปกติในระยะห่าง 3-5 ฟุต และไม่เห็นหน้าผู้พูด
            - จะไม่ได้ยิน ได้ยินไม่ชัด จับใจความไม่ได้
            - มีปัญหาในการพูดเล็กน้อย เช่น พูดไม่ชัด ออกเสียงเพี้ยน พูดเสียงเบา หรือเสียงผิดปกติ
3. เด็กหูตึงระดับมาก ได้ยินตั้งแต่ 56-70 dB

             - เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังและเข้าใจคำพูด
             - เมื่อพูดคุยกันด้วยเสียงดังเต็มที่ก็ยังไม่ได้ยิน
             - มีปัญหาในการรับฟังเสียงหลายเสียงพร้อมกัน
             - มีพัฒนาการทางภาษาและการพูดช้ากว่าปกติ
             - พูดไม่ชัด เสียงเพี้ยน บางคนไม่พูด
 4. เด็กหูตึงระดับรุนแรง ได้ยินตั้งแต่ 71-90 dB
             - เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงและการเข้าใจคำพูดอย่างมาก
            - ได้ยินเฉพาะเสียงที่ดังใกล้หูในระยะ 1 ฟุต
            - การพูดคุยด้วยต้องตะโกนหรือใช้เครื่องขยายเสียง
            - เด็กจะมีปัญหาในการแยกเสียง
            - เด็กมักพูดไม่ชัดและมีเสียงผิดปกติ บางคนไม่พูด
เด็กหูหนวก
             - เด็กที่สูญเสียการได้ยินมากถึงขนาดที่ทำให้หมดโอกาสที่จะเข้าใจภาษาพูดจากการได้ยิน
             - เครื่องช่วยฟังไม่สามารถช่วยได้
             - ไม่สามารถเข้าใจหรือใช้ภาษาพูดได้
             - ระดับการได้ยินตั้งแต่ 91 dB ขึ้นไป
3. เด็กที่บกพร่องทางการเห็น
 (Children with Visual Impairments)
- เด็กที่มองไม่เห็นหรือพอเห็นแสง เห็นเลือนราง
            - มีความบกพร่องทางสายตาทั้งสองข้าง
            - สามารถเห็นได้ไม่ถึง 1/10 ของคนสายตาปกติ
            - มีลานสายตากว้างไม่เกิน 30 องศา
จำแนกได้เป็น 2 ประเภท คือ เด็กตาบอด และ เด็กตาบอดไม่สนิท
- เด็กที่ไม่สามารถมองเห็นได้เลย หรือมองเห็นบ้าง
             - ต้องใช้ประสาทสัมผัสอื่นในการเรียนรู้
             - มีสายตาข้างดีมองเห็นได้ในระยะ 6/60 , 20/200 ลงมาจนถึงบอดสนิท
             - มีลานสายตาโดยเฉลี่ยอย่างสูงสุดแคบกว่า 5 องศา
เด็กตาบอดไม่สนิท
            - เด็กที่มีความบกพร่องทางสายตา
            - สามารถมองเห็นบ้างแต่ไม่เท่ากับเด็กปกติ
            - เมื่อทดสอบสายตาข้างดีจะอยู่ในระดับ 6/18, 20/60, 6/60, 20/200 หรือน้อยกว่านั้น
            - มีลานสายตาโดยเฉลี่ยอย่างสูงสุดกว้างไม่เกิน 30 องศา
ลักษณะของเด็กบกพร่องทางการเห็น
เดินงุ่มง่าม ชนและสะดุดวัตถุ
มองเห็นสีผิดไปจากปกติ
มักบ่นว่าปวดศีรษะ คลื่นไส้ ตาลาย คันตา
ก้มศีรษะชิดกับงาน หรือของเล่นที่วางอยู่ตรงหน้า
เพ่งตา หรี่ตา หรือปิดตาข้างหนึ่ง เมื่อใช้สายตา
ตาและมือไม่สัมพันธ์กัน
มีความลำบากในการจำ และแยกแยะสิ่งที่เป็นรูปร่างทางเรขาคณิต

Adoption( การนำไปใช้)
ประยุกต์ใช้ในการสอนเด็กพิเศษว่ามีเเนวทางการให้ความรู้อย่างไรในวิธีการสอนเด็ก

classroom atmosphere (บรรยากาศในห้องเรียน)

อากาศค่อนข้างเย็น เพื่อนคุยบ้างเล็กน้อย เพื่อนให้ความร่วมมือในการทำฟังคำบรรยาย

Self-Assessment (ประเมินตนเอง)
แต่งตัวเรียบร้อย มาไม่สาย

friend-Assessment (ประเมินเพื่อน)
มีกิจกรรมที่น่าสนใจ และคอยช่วยหลือเรื่องอุปกรณ์กับนักศึกษา เป็นผู้อำนวยการเรียนรู้อย่างดี

Teacher-Assessment (ประเมินครู)

เเต่งกายสุภาพสอนเข้าใจ