Diary No.3
Inclusive Education Experiences Management for
Early Childhood
wednesday, January27 , 2559 Time 08.30 - 12.30
Knowlead (ความรู้ที่ได้รับ)
ประเภทของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
แบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ
1. กลุ่มเด็กที่มีลักษณะทางความสามารถสูงมีความเป็นเลิศทางสติปัญญา
เรียกโดยทั่ว ๆ ไปว่า “เด็กปัญญาเลิศ
ลักษณะของเด็กปัญญาเลิศ
พัฒนาการทางร่างกายและจิตใจสูงกว่าเด็กในวัยเดียวกันเรียนรู้สิ่งต่างๆ
ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดายอยากรู้อยากเห็นอย่างจริงจัง
ชอบซักถามมีเหตุผลในการแก้ปัญหา การใช้สามัญสำนึก
จดจำได้รวดเร็วและแม่นยำ
เด็กฉลาด
ตอบคำถามสนใจ เรื่องที่ครูสอน ชอบอยู่กับเด็กอายุเท่ากัน ความจำดีเรียนรู้ง่ายและเร็ว เป็นผู้ฟังที่ดี พอใจในผลงานของตน
Gifted
ตั้งคำถาม เรียนรู้สิ่งที่สนใจชอบอยู่กับผู้ใหญ่หรือเด็กที่โตกว่า
อยากรู้อยากเห็น ชอบคาดคะเน เบื่อง่าย
ชอบเล่า ติเตียนผลงานของตน
2. กลุ่มเด็กที่มีลักษณะทางความบกพร่อง
เด็กที่บกพร่องทางสติปัญญา
เด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน
เด็กที่บกพร่องทางการเห็น
เด็กที่บกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ
เด็กที่บกพร่องทางการพูดและภาษา
เด็กที่บกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์
เด็กที่บกพร่องทางการเรียนรู้
เด็กออทิสติก
เด็กพิการซ้อน
เด็กปัญญาอ่อน
- ระดับสติปัญญาต่ำ
-
พัฒนาการล่าช้าไม่เหมาะสมกับวัย
-
มีพฤติกรรมการปรับตนบกพร่อง
-
อาการแสดงก่อนอายุ 18
เด็กปัญญาอ่อน
แบ่งตามระดับสติปัญญา (IQ) ได้ 4 กลุ่ม
1. เด็กปัญญาอ่อนขนาดหนักมาก IQ ต่ำกว่า 20
-
ไม่สามารถเรียนรู้ทักษะด้านต่าง ๆ ได้เลย
-
ต้องการเฉพาะการดูแลรักษาพยาบาลเท่านั้น
2. เด็กปัญญาอ่อนขนาดหนัก IQ 20-34
ไม่สามารถเรียนได้
ต้องการเฉพาะการฝึกหัดการช่วยเหลือตัวเองในกิจวัตรประจำวันเบื้องต้นง่าย ๆ
กลุ่มนี้เรียกโดยทั่วไปว่า C.M.R (Custodial Mental Retardation)
3. เด็กปัญญาอ่อนขนาดปานกลาง IQ 35-49
-
พอที่จะฝึกอบรมและเรียนทักษะเบื้องต้นง่าย ๆ ได้
-
สามารถฝึกอาชีพ หรือทำงานง่าย ๆ ที่ไม่ต้องใช้ความละเอียดลออได้
-
เรียกโดยทั่วไปว่า T.M.R (Trainable Mentally Retarded)
4. เด็กปัญญาอ่อนขนาดน้อย
IQ 50-70
เรียนในระดับประถมศึกษาได้สามารถฝึกอาชีพและงานง่าย ๆ ได้เรียกโดยทั่ว ๆ ไปว่า E.M.R (Educable Mentally Retarded)
ลักษณะของเด็กที่บกพร่องทางสติปัญญา
ไม่พูด หรือพูดได้ไม่สมวัย ช่วงความสนใจสั้น วอกแวก ความคิด และอารมณ์ เปลี่ยนแปลงง่าย
รอคอยไม่ได้ทำงานช้ารุนแรง ไม่มีเหตุผล อวัยวะบางส่วนมีรูปร่างผิดปกติ
กล้ามเนื้อทำงานไม่ประสานกันช่วยตนเองได้น้อยกว่าเด็กในวัยเดียวกัน
ดาวน์ซินโดรม Down Syndrome
สาเหตุ
ความผิดปกติของโครโมโซมคู่ที่ 21 ที่พบบ่อยคือโครโมโซมคู่ที่ 21 เกินมา
1 แท่ง (Trisomy 21)
อาการ
ศีรษะเล็กและแบน คอสั้น
หน้าแบน ดั้งจมูกแบน
ตาเฉียงขึ้น ปากเล็ก
ใบหูเล็กและอยู่ต่ำ
รูหูส่วนนอกจะตีบกว่าปกติ
เพดานปากโค้งนูน
ขากรรไกรบนไม่เจริญเติบโต
ช่องปากแคบ ลิ้นยื่น
ฟันขึ้นช้าและไม่เป็นระเบียบ
มือแบนกว้าง นิ้วมือสั้น
เส้นลายมือตัดขวาง นิ้วก้อยโค้งงอ
2. เด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน
(Children with Hearing Impaired )
(Children with Hearing Impaired )
หมายถึง เด็กที่มีความบกพร่อง
หรือสูญเสียการได้ยินเป็นเหตุให้การรับฟังเสียงต่าง ๆ
ได้ไม่ชัดเจนมี 2 ประเภท คือ เด็กหูตึง และ เด็กหูหนวกเด็กหู
หมายถึง เด็กที่สูญเสียการได้ยิน แต่สามารถรับข้อมูลได้
โดยใช้เครื่องช่วยฟัง จำแนกกลุ่มย่อยได้ 4 กลุ่ม
1. เด็กหูตึงระดับน้อย
ได้ยินตั้งแต่ 26-40 dB
เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงเบา ๆ เช่น เสียงกระซิบ หรือเสียงจากที่ไกล ๆ
2. เด็กหูตึงระดับปานกลาง ได้ยินตั้งแต่ 41-55 dB
- เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงพูดคุยที่ดังในระดับปกติในระยะห่าง 3-5 ฟุต และไม่เห็นหน้าผู้พูด
- จะไม่ได้ยิน ได้ยินไม่ชัด จับใจความไม่ได้
- มีปัญหาในการพูดเล็กน้อย เช่น พูดไม่ชัด ออกเสียงเพี้ยน พูดเสียงเบา หรือเสียงผิดปกติ
เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงเบา ๆ เช่น เสียงกระซิบ หรือเสียงจากที่ไกล ๆ
2. เด็กหูตึงระดับปานกลาง ได้ยินตั้งแต่ 41-55 dB
- เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงพูดคุยที่ดังในระดับปกติในระยะห่าง 3-5 ฟุต และไม่เห็นหน้าผู้พูด
- จะไม่ได้ยิน ได้ยินไม่ชัด จับใจความไม่ได้
- มีปัญหาในการพูดเล็กน้อย เช่น พูดไม่ชัด ออกเสียงเพี้ยน พูดเสียงเบา หรือเสียงผิดปกติ
3. เด็กหูตึงระดับมาก
ได้ยินตั้งแต่ 56-70 dB
- เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังและเข้าใจคำพูด
- เมื่อพูดคุยกันด้วยเสียงดังเต็มที่ก็ยังไม่ได้ยิน
- มีปัญหาในการรับฟังเสียงหลายเสียงพร้อมกัน
- มีพัฒนาการทางภาษาและการพูดช้ากว่าปกติ
- พูดไม่ชัด เสียงเพี้ยน บางคนไม่พูด
4. เด็กหูตึงระดับรุนแรง ได้ยินตั้งแต่ 71-90 dB
- เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงและการเข้าใจคำพูดอย่างมาก
- ได้ยินเฉพาะเสียงที่ดังใกล้หูในระยะ 1 ฟุต
- การพูดคุยด้วยต้องตะโกนหรือใช้เครื่องขยายเสียง
- เด็กจะมีปัญหาในการแยกเสียง
- เด็กมักพูดไม่ชัดและมีเสียงผิดปกติ บางคนไม่พูด
- เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังและเข้าใจคำพูด
- เมื่อพูดคุยกันด้วยเสียงดังเต็มที่ก็ยังไม่ได้ยิน
- มีปัญหาในการรับฟังเสียงหลายเสียงพร้อมกัน
- มีพัฒนาการทางภาษาและการพูดช้ากว่าปกติ
- พูดไม่ชัด เสียงเพี้ยน บางคนไม่พูด
4. เด็กหูตึงระดับรุนแรง ได้ยินตั้งแต่ 71-90 dB
- เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงและการเข้าใจคำพูดอย่างมาก
- ได้ยินเฉพาะเสียงที่ดังใกล้หูในระยะ 1 ฟุต
- การพูดคุยด้วยต้องตะโกนหรือใช้เครื่องขยายเสียง
- เด็กจะมีปัญหาในการแยกเสียง
- เด็กมักพูดไม่ชัดและมีเสียงผิดปกติ บางคนไม่พูด
เด็กหูหนวก
- เด็กที่สูญเสียการได้ยินมากถึงขนาดที่ทำให้หมดโอกาสที่จะเข้าใจภาษาพูดจากการได้ยิน
- เครื่องช่วยฟังไม่สามารถช่วยได้
- ไม่สามารถเข้าใจหรือใช้ภาษาพูดได้
- ระดับการได้ยินตั้งแต่ 91 dB ขึ้นไป
- เด็กที่สูญเสียการได้ยินมากถึงขนาดที่ทำให้หมดโอกาสที่จะเข้าใจภาษาพูดจากการได้ยิน
- เครื่องช่วยฟังไม่สามารถช่วยได้
- ไม่สามารถเข้าใจหรือใช้ภาษาพูดได้
- ระดับการได้ยินตั้งแต่ 91 dB ขึ้นไป
3. เด็กที่บกพร่องทางการเห็น
(Children with Visual Impairments)
(Children with Visual Impairments)
- เด็กที่มองไม่เห็นหรือพอเห็นแสง
เห็นเลือนราง
-
มีความบกพร่องทางสายตาทั้งสองข้าง
-
สามารถเห็นได้ไม่ถึง 1/10 ของคนสายตาปกติ
-
มีลานสายตากว้างไม่เกิน 30 องศา
จำแนกได้เป็น 2 ประเภท คือ เด็กตาบอด และ เด็กตาบอดไม่สนิท
- เด็กที่ไม่สามารถมองเห็นได้เลย
หรือมองเห็นบ้าง
- ต้องใช้ประสาทสัมผัสอื่นในการเรียนรู้
- มีสายตาข้างดีมองเห็นได้ในระยะ 6/60 , 20/200 ลงมาจนถึงบอดสนิท
- มีลานสายตาโดยเฉลี่ยอย่างสูงสุดแคบกว่า 5 องศา
- ต้องใช้ประสาทสัมผัสอื่นในการเรียนรู้
- มีสายตาข้างดีมองเห็นได้ในระยะ 6/60 , 20/200 ลงมาจนถึงบอดสนิท
- มีลานสายตาโดยเฉลี่ยอย่างสูงสุดแคบกว่า 5 องศา
เด็กตาบอดไม่สนิท
- เด็กที่มีความบกพร่องทางสายตา
- สามารถมองเห็นบ้างแต่ไม่เท่ากับเด็กปกติ
- เมื่อทดสอบสายตาข้างดีจะอยู่ในระดับ 6/18, 20/60, 6/60, 20/200 หรือน้อยกว่านั้น
- มีลานสายตาโดยเฉลี่ยอย่างสูงสุดกว้างไม่เกิน 30 องศา
- เด็กที่มีความบกพร่องทางสายตา
- สามารถมองเห็นบ้างแต่ไม่เท่ากับเด็กปกติ
- เมื่อทดสอบสายตาข้างดีจะอยู่ในระดับ 6/18, 20/60, 6/60, 20/200 หรือน้อยกว่านั้น
- มีลานสายตาโดยเฉลี่ยอย่างสูงสุดกว้างไม่เกิน 30 องศา
ลักษณะของเด็กบกพร่องทางการเห็น
เดินงุ่มง่าม ชนและสะดุดวัตถุ
มองเห็นสีผิดไปจากปกติ
มักบ่นว่าปวดศีรษะ คลื่นไส้ ตาลาย
คันตา
ก้มศีรษะชิดกับงาน
หรือของเล่นที่วางอยู่ตรงหน้า
เพ่งตา หรี่ตา หรือปิดตาข้างหนึ่ง
เมื่อใช้สายตา
ตาและมือไม่สัมพันธ์กัน
มีความลำบากในการจำ
และแยกแยะสิ่งที่เป็นรูปร่างทางเรขาคณิต
Adoption( การนำไปใช้)
ประยุกต์ใช้ในการสอนเด็กพิเศษว่ามีเเนวทางการให้ความรู้อย่างไรในวิธีการสอนเด็ก
classroom atmosphere (บรรยากาศในห้องเรียน)
อากาศค่อนข้างเย็น เพื่อนคุยบ้างเล็กน้อย
เพื่อนให้ความร่วมมือในการทำฟังคำบรรยาย
Self-Assessment (ประเมินตนเอง)
แต่งตัวเรียบร้อย มาไม่สาย
friend-Assessment (ประเมินเพื่อน)
มีกิจกรรมที่น่าสนใจ
และคอยช่วยหลือเรื่องอุปกรณ์กับนักศึกษา เป็นผู้อำนวยการเรียนรู้อย่างดี
Teacher-Assessment (ประเมินครู)
เเต่งกายสุภาพสอนเข้าใจ